อุปกรณ์ดักฟังพกพา เพราะเธอจะสู้ด้วยการทำการค้าแบบตรงไปตรงมา สู้ด้วยกลยุทธ์ ทางการตลาดที่เหนือกว่า สู้ด้วยการตอบแทนลูกค้าที่ดีกว่า และการบริหาร จัดการให้ประหยัดมากที่สุด แม้จะเป็นแบรนด์หรูหราก็ตามและแม้แต่ในเรื่องของการเลื่อนตำแหน่งพนักงาน ก็พิจารณาตาม ความสามารถ โดยไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพนักงานในปีพ.ศ. 2540 คิมยังสามารถขยายลาขาในเกาหลีได้ทั้งหมด 88 แห่ง ภายใต้การทำงานของพนักงาน 450 คน ยอดรายได้รวมกว่า 4,400 ล้านบาท สวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่งจนกล่าวได้ว่า "แรงกดดันที่เธอได้รับ ถือเป็นแรงผลักดันและเป็นกลยุทธ์ลู่ความสำเร็จมหาศาล"นักธุรกิจทุกคนล้วนมีแรงผลักดันทีทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นคือ "การใช้แรงกดดัน" จากการถูกประนาม หยามเหยียด เพื่อผลักดันให้เป็นกลยุทธ์สู่ความสำเร็จทางธุรกิจแรงกดดันนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อความรู้สึก เพราะเป็นสิ่งที่ ทำ'ให้เกิดความตึงเด่รึยด แต่ก็สามารถสร้างความฮึกเหิม และสร้างความ มุ่งมั่นเพื่อที่จะเอาชนะให้ได้ ซึ่งตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ ก็คงไม่พ้นหญิง ชาวเกาหสึ คิม ดักฟังขนาดจิ๋ว เครื่องดักฟังเสียง ซุงคิม เกิดในครอบครัวนักธุรกิจระดับแนวหน้าของเกาหลีใต้ แต่ เมื่อเธอเกิดมาเป็นผู้หญิง จึงทำให้ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อใน เรื่องของการทำธุรกิจนักเพราะพ่อเห็นว่า เรื่องของการทำธุรกิจเป็นโลกของผู้ชายเท่านั้น คิม จึงมักจะถูกพ่อปีบคั้น และกดดันว่าผู้ชายต่างหากคือเพศที่ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าผู้หญิง ทั้งๆ ที่เธอรักในการค้าขาย และการทำธุรกิจมาตั้งแต่ เด็กการที่ คืม เป็นลูกของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง และตัวเธอเองก็มีความ สามารถอันโดดเด่น ทำให้เธอได้เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในหรีอนอกประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั่นก็คือ “ฮาร์วาร์ด' แต่'ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบ'วิชาชีพลื่อมวลช'นเลมอ’ไป มิฉะนันก็คงไม่มีนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ หรือผู้มีความคิดสร้างสรรค์ที่ ไม่ได้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนประสบความสำเร็จ โดยการ'ใช้กลยุทฐ ทางการตลาด ที่นำความเป็นจริงเพื่อสิ่งที่ดีกว่ามาแปรมูลค่าเป็นสิงทำเงิน และสเปนเซอร์ ก็คงไม่พบกับความสำเร็จอย่างมหาศาล คือหนังลีอแนวจิตวิทยา ประยุกต์นำเสนอเรื่องราวความกลัวที่คนเราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นก็คือ '‘ความกลัวการเปลี่ยนแปลง"โดยมีหัวเรื่องหลักคือ "คุณจะทำอะไรได้บ้างถ้าไม่รู้สึกกลัว" ผ่านตัวละครที่เป็นหนูสองตัว ได้แก่ สนิฟและสเคอรื่ รวมถึงมนุษย์จิ๋ว สองคน คือเฮมและฮอว์ ผู้อาศัยอยู่ในเขาวงกตที่มีเนยแข็งทุกชนิดที่ พวกเขาต้องการแต่แล้ววันหนึ่ง เนยแข็งที่มีอยู่มากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไร้เบาะแส เจ้าหนูสองตัววิ่งวุ่นเข้าไปค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่ในเขาวงกต ส่วน เฮมกับฮอว่ ซึ่งเป็นมนุษย์กลับตีโพยตีพายในสื่งที่เกิดขึ้น ในที่สุด ฮอว์ ตัดสินใจออกเดินทางไปยังเขาวงกตเพื่อแสวงหา เนยแข็งก้อนใหม่ ส่วน เฮม ไม่ยอมไปไหน พอใจอดๆ อยากๆt emits light thro กับ สภาพที่เป็นอยู่ เพราะกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งที่เป็นอันตราย และไม่ คุ้นเคยกับเขาวงกตอันน่ากลัวเรื่องราวของหนูสองตัว และมนุษย์จิ๋วสองคน คือสิ่ง ที่สะท้อนให้ผู้อ่านได้หันกลับมามอง "ใจ,, ที่ '‘อยู่ใกล้ตัว" ว่า เป็นบางครั้งสิ่งที่ชัดเจนที่สุด กลับเป็นสิ่งที่มองเห็นยากที่สุด หากคนเราไม่ยอมที่จะกล้าเปลี่ยนแปลงแนวความคิดที่ปรากฏขึ้นในงานเขียนเล่มนี้ เกิดขึ้นได้จากการที่ ในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ปีกหัด สเปนเซอร์ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ที่ต้อง "กล้าที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต"จากการที่เขาตัดสินใจเป็นนักเขียนหลังจากจบหลักสูตรแพทย์ ปีกหัด ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีชื่อเสียง จึงยังไม่มีรายได้ และไม'มีเงินเก็บ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อจนกระทั่งในปีพ.ศ 2524 สเปนเซอร์ ตัดสินใจร่วมหัวจมท้าย กับ เคนเนท แบลนชารัด สร้างสรรค์หนังสือ "The One minute Manager" หรือ "ผู้จัดการ 1 นาที" ที่ได้การยอมรับว่าเป็นคัมภีร์ ธุรกิจยอดนิยม กลายเป็นความสำเร็จที่ล่งผลให้ต้องเดินทางไปบรรยาย ในที่ต่างๆ 300 วันต่อปีเลยทีเดียวแล้ว สเปนเซอร์ ก็ได้สร้างสรรค์ผลงานหนังสือเรื่องอื่นๆ ตามมา อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น "The One minute Mother The One minute Father" "The Precious Present" และอีกหลายเล่ม ซึงทุกเล่ม ติดอันดับหนังสือขายดิเภีอบทั้งหมดสำหรับหนังสือ ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป? สเปนเซอร์ได้ คิดและแต่งเอาไว้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ตกผลึกเสียที ซึ่งความจริงมันควรจะ เป็นผลงานเล่มแรกของ สเปนเซอร์ มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522ทำให้รวมระยะเวลาทั้งหมดที่ สเปนเซอร์ ใช้เขียนหนังสือเล่มนี้ ก็คือ 20 ปี ด้วยการเรียบเรียงขัดเกลาข้อมูลที่ต้องรอให้ตกผลึก จึงจะ นำมาติพิมพ์จนประลบความสำเร็จในระดับโลกได้
เครื่องดักฟัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น